วันอังคารที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

Metrosexual(เมโทรเซ็กชัว)_Style

     ทุกวันนี้ สังคมเริ่มคุ้นเคย กับสภาพของสาวน้อยแรกรุ่นที่นิยมแต่งกายด้วยผ้าชิ้นเล็กลงทุกที จากที่ลุงๆ ป้าๆ เคยตกใจกับเสื้อสายเดี่ยว เอวลอยปล่อยให้ร่องอกตื้นๆ และสะดือบุ๋มโผล่บนโผล่ล่าง ระเรื่อยไปจนถึงกางเกงเอวต่ำสั้นจุ๊ด ที่เอื้ออำนวยให้กางเกงใน และร่องก้นได้แย่งกันปรากฏตัวในที่สวนสาธารณะ
     ท่ามกลางสาวน้อยเปรี้ยวจี๊ด ที่แต่งเนื้อแต่งตัวมากข้น ด้วยอาภรณ์ร้อยชิ้นลง สังคมก็ได้เห็นปรากฏการณ์บางอย่าง ของฝ่ายชาย ที่กำลังแตกเนื้อหนุ่มทั้งหลายด้วย พวกเขานิยมสวมเสื้อตัวเล็กคับติ้วที่ตัดจากผ้าลายพร้อยอ่อนนุ่ม ไม่ต่างจากอาภรณ์ของสตรี และที่สำคัญ…พวกเขาเรียนรู้และมีความสุขกับการลงเมคอัป รองพื้น เติมแป้งหรือแม้แต่จะเคลือบริมฝีปากบางๆ หลังจากที่ใช้เวลากับการบำรุงผิวพรรณทุกเช้าค่ำ วิถีแห่งความ “รักหล่อ” ของพวกเขาแทบไม่แตกต่างจากความ “รักสวยรักงาม” ของเด็กหญิงร่วมวัยทีน สักเท่าไรเลย พวกเขาเรียกตัวเองว่า…เมโทรเซ็กช่วล


“เมโทรเซ็กชวล” คือ การที่ผู้ชายให้ความสำคัญ กับรูปร่างหน้าตา และลักษณะภายนอกของตัวเอง มากกว่าในสมัยก่อน เทรนด์นี้เกิดขึ้นมาได้พักใหญ่แล้ว แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะซาลง แต่กลับยิ่งแรงขึ้น อย่างไม่มีหยุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเอเชีย
ปัจจุบันผู้ชายเอเชียแต่ง ตัวกันมากขึ้น ความสนใจเรื่อง “เสื้อผ้า หน้า ผม” เริ่มเป็นเรื่องที่ผู้ชายใส่ใจ ในวันทำงานนอกไปจากใส่สูท ผูกไท การใส่เสื้อยืดหรือเสื้อเชิ้ตสีชมพู ก็เป็นไปได้มากขึ้น ใบหน้าก็ดูแลให้ดูสะอาดตากว่าแต่ก่อน ส่วนเรื่องผม ก็มีการจัดแต่งทรงหลากหลาย มากกว่าการใส่เยลหรือน้ำมัน
     ตัว เลือกที่มีมากขึ้น และภาพที่พบเห็นตลอดเวลาจากสื่อ และสิ่งที่อยู่รอบด้าน ทำให้สิ่งนี้แทรกซึมไปในชีวิต และวิถีชีวิตของผู้ชายเอเชียโดยไม่รู้ตัว หลายคนบ่นว่าเมโทรเซ็กชวลทำให้ความเป็นผู้ชายลดหายไป ทำให้ความเป็นชายเสียหาย แต่ส่วนตัวกลับรู้สึกว่าสิ่งนี้ทำให้ผู้ชายดูสนุก กับชีวิตมากขึ้น มีทางเลือกในการแสดงออกมากขึ้น เป็นความหลากหลายที่ดูสดใส ใส่ใจตัวเอง ที่ทำให้คนรอบข้างรู้สึกดีได้
ลองนึกภาพ ผู้ชายที่ ดูแลตัวเองอย่างดี ไม่ใช่เกย์ แต่ขอเป็น ผู้ชายหน้าสวยที่แสนจะปราณีต กับตัวเอง การดูแล ทรงผม เสื้อผ้า อย่างละ เค้ามักจะ ใส่เสื้อผ้า พอดีตัว รับและ มีความสุข กับทุกอย่าง ที่อินเทรนด์ ประพรมน้ำหอมสารพัดกลิ่น เสื้อผ้าราวกับ สตรีเพศ เดินมาจากแคตาล๊อก รู้จัก การใช้เมคอัพ ต่างๆ ครีมบำรุงผิวพรรณ
     บาง ครั้งเรียหนุ่มน้อย กลุ่มนี้ได้ว่า” ผู้ชายรักหล่อ ” รักสวยรักงาม …แต่ไม่ใช่เกย์นะขอบอกเสียก่อน เค้าภูมิใจ ในสรีระ ( อะจึ๊ยยย ) ความเป็นผู้ชาย แต่เพิ่มความเนี้ยบแบบออกสวยๆ ไปอีก มาก ๆ หล่อ แบบสำอางๆ หล่อ แบบ ตามกระแส
นอกจากนั้น หนุ่มเมโทรฯ ยังมีเสียงที่ …ไม่ห้าว เท่ ขรึม แบบ แมนๆ หรือ ลูกผู้ชายยุคโบราณไม่ เสียงเล็กๆ น้อยๆ ราวกับอิสตรี แบบเกย์ แต่เป็นเสียง แบบ หนุ่มยังไม่โต ชนิดหนึ่ง เสียงใสๆ …คำพูด แบบ ชิลๆ
สมัยนี้เรื่อง ความสวยความงามใช่จำกัดอยู่ เฉพาะแค่ผู้หญิง หากในกลุ่มผู้ชายสำอาง หรือที่เรียกกันว่า “เมโทรเซ็กชวล” ก็ให้ความสำคัญต่อการดูแลใส่ใจรูปร่างหน้าตาตัวเองไม่แพ้ผู้หญิงเช่นกัน และยิ่งนับว่าผู้ชายเมโทรฯ เหล่านี้ก็ยิ่งเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ
    ความ กระจ่าง ถึงความต่าง ระหว่างเกย์ และหนุ่มเมโทรฯ ที่หลายคนยังสับสนอยู่ว่า“หนุ่มๆ เมโทรฯ คือ ผู้ชายยุคใหม่ ที่มีความใส่ใจในรูปร่าง หน้าตา และบุคลิกภาพของตนเอง โดยมากแล้ว จะมีหน้าที่การงานที่ต้องพบปะผู้คนมากมาย ตัวอย่างของหนุ่มๆ เมโทรฯ ก็เช่น นายแบบ ดารา นักร้อง ยิ่งขณะนี้กระแสดารานักร้องเอเชีย ก็ยิ่งเป็นแรงบันดาลใจให้หนุ่มๆ บ้านเราหันมาเป็นเมโทรเซ็กชวล มากขึ้น
คน ที่เป็นหนุ่มเมโทรฯ นั้นไม่ได้มีรสนิยมรักผู้ชาย เขาแค่ดูแลตัวเองเพื่อให้ดูดี ส่วนเกย์นั้นจะแตกต่างแน่นอน เพราะมันมาจากความรู้สึกอีกด้าน เขามีความสนใจในเพศเดียวกัน แล้วเกย์หลายๆ คน ก็ไม่นิยมแต่งตัวแบบเมโทรเซ็กชวลกัน”
ปัจจุบัน ธุรกิจเครื่องสำอาง สำหรับผู้ชายเติบโตมากขึ้น มีการคิดผลิตเครื่องสำอางสำหรับผู้ชายเพื่อตอบสนองความต้องการของหนุ่มเม โทรฯ มากมาย ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เริ่มต้นตั้งแต่ศีรษะ คือผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผม สำหรับผิวหน้า คือ โฟมล้างหน้า จากนั้นก็ต้องดูแลผิวรอบดวงตา และบำรุงผิวหน้าด้วย และยังมีครีมกันแดดเพื่อป้องกันแสงแดดกันอีกด้วย
       กระแส ความเป็นยูนิเซ็ก คือการละม้ายคล้ายคลึงในเชิงความชอบและรสนิยมระหว่างเพศชายและเพศหญิงแทบจะ กลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวไปแล้ว อะไรที่ผู้หญิงเคยแต่ง เคยชอบ เคยสวย มนุษย์ผู้ชายก็ขอมั่งดิ















วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

Street(สตรีท)_Style

What is the Street Culture?
     วัฒนธรรมสตรีทเป็นวัฒนกรรมกลุ่มย่อย (Sub Culture) ของคนในสังคมเมืองใหญ่
ที่มักจะแตกต่างจากวัฒนธรรมกระแสหลักอย่างสิ้นเชิง วัฒนธรรมสตรีทนั้นถูกหล่อหลอมขึ้นจากอิทธิพลของศาสตร์หลายแขนง ทั้งกีฬา Extreme อาทิ การโต้คลื่น และสเก็ตบอร์ด และ ดนตรีอย่างเช่น Hip Hop Rock และ Punk รวมไปถึงศิลปะเช่น ลายกราฟิตี การเต้นเบรคแดนซ์ และ การแสดงข้างถนน( Street Performance)


Street’s Origin
     ณ ประเทศอเมริกา บนริมหาดฝั่งตะวันตก (West Coasts) ในแคลิฟอร์เนีย นักโต้คลื่นท้องถิ่นซึ่งใช้ชีวิตส่วนใหญ่ร่อนทะเลอยู่กับเซิร์ฟบอร์ดและจีบสาวๆอยู่ริมหาด ได้ร่วมกันตั้ง “สังคม คนเซิร์ฟ” (Surf Community)  ขึ้นมาและสร้างวัฒนธรรมกลุ่มย่อยขึ้นไม่ว่าจะเป็น การแต่งตัวและรูปแบบการใช้ชีวิต ในเวลาต่อมาช่วงปี ค.ศ. 1940 นักโต้คลื่นกลุ่มนี้ได้คุยกันว่าการเซิร์ฟนั้นไม่ควรจะจำกัดอยู่แค่บนคลื่นเท่านั้น มิเช่นนั้นพวกเขาจะไม่มีอะไรเล่นกันในช่วงที่ไม่มีคลื่น ซึ่งความคิดนี้เองที่ทำให้พวกเขาได้รื้อกล่องไม้แล้วเอามาแผ่นหนึ่งติดล้อเล็กๆเข้าไป จากนั้นเล่นร่อนไถแผ่นไม้นี้ไปเรื่อยๆทั่วเมือง ต่อมาอุปกรณ์ชนิดนี้ถูกเรียกว่า “สเก็ตบอร์ด”  และไม่นานนักที่คนในท้องถนนต่างเห็นพวกเขากำลังพลิ้วไหวกับสเก็ตบอร์ด“สังคม คนสเก็ต” (Skateboarding Community) จึงเกิดขึ้น


     มาทางด้านหาดฝั่งตะวันออก (East Coast) กันบ้าง เมื่อวัฒนธรรม Hip Hop ได้เกิดเปิดตัวขึ้นท่ามกลางมหานครนิวยอร์คในช่วงยุคปี ค.ศ. 1970 ทั้งรูปแบบการเต้น การร้องเพลงแร็พ และ การแต่งตัวของเหล่าดารานักร้องผิวหมึกก็เป็นวัฒนธรรมกลุ่มย่อยที่เริ่มได้รับการยอมรับมากขึ้นเรื่อยๆ จน STUSSY แบรนด์เสื้อผ้าแฟชั่นสมัยนั้นได้เล็งเห็นถึงการนำวัฒนธรรมทั้งทางฝั่งตะวันตกและตะวันออกมาผสมผสานกัน 

    โดยได้ลองนำลวดลายศิลปะ Graffiti ของฝั่งฮิปฮอปตะวันออกมาผสมผสานเข้ากับวัฒนธรรมการโต้คลื่นและการเล่นสเก็ตบอร์ดของฝั่งตะวันตก จนได้ออกมาเป็นเสื้อผ้าแฟชั่นที่มีลวดลายแปลกตาไม่ซ้ำใคร ซึ่งก็เป็นที่ถูกอกถูกใจของคนทั้งฝั่งตะวันออกและตะวันตกมากซึ่งตรงจุดนี่เองที่ถือเป็นการเชื่อมวัฒนธรรมของสังคมต่างๆเข้าด้วยกันไม่ว่าจะเป็นสังคม Hip Hop การเซิร์ฟ และ สเก็ตบอร์ด จนเกิดเป็นวัฒนธรรมใหม่ที่เรียกว่า วัฒนธรรมสตรีท (Street Culture)  ในช่วงปีค.ศ. 1980

     นับแต่จุดกำเนิดของวัฒนธรรมสตรีทเมื่อปี 80 ไม่นานนักกลิ่นอายของความเป็นสตรีท ก็กระจายไปทั่วโลก ในยุค 90 บนถนนฮาราจูกุ ถนนแห่งแฟชั่นของวัยรุ่นเมืองปลาดิบถูกวัฒนธรรมสตรีทกระแทกเข้าอย่างจังจนทำให้บัดเดี๋ยวนี้ญี่ปุ่นกลายเป็นหนึ่งผู้นำระดับเทพทางด้านแฟชั่นสตรีทของโลก
    
 Who is Dek-Street?
       ทีนี้มาถึงคำถามสำคัญว่าแล้วคำว่า “เด็กสตรีท” ในประเทศไทยนั้นโดยรวมแล้วหมายถึงอะไร ซึ่งคำถามนี้ก็คงไม่ต่างกับการค้นหาคำตอบว่า ศิลปะ หมายถึงอะไร แต่หากจะให้พูดให้เห็นภาพชัดเจนก็คงจะหมายถึง คนรุ่นใหม่ที่มีรูปแบบการใช้ชีวิตอิสระ และชอบแสดงออกทางการแต่งตัว การเล่นกีฬา หรือ การสร้างสรรค์งานศิลปะ ซึ่งนิยามคำว่าเด็กสตรีทนั้นไม่ได้จำกัดอยู่ที่แค่การเป็นเด็ก Hip Hop หรือ คนที่ชอบเล่นกีฬา Extreme แต่เพียงเท่านั้น ตัวอย่างของเด็กสตรีทที่ได้รับการยอมรับในวงกว้างของเมืองไทยนั้นก็มีให้เห็นอย่างเช่น คริส หอวัง เรย์ แมคโดนัล และ สมาชิกทั้งสาม แห่งวงไทเทเนียม ขัน เดย์ และ เวย์เป็นต้น

















Vintage(วินเทจ)_Style

สำหรับ "วินเทจ" ความหมายในแง่แฟชั่นจะหมายถึง "ของเก่า" หรือ "ของที่ทำให้ดูเก่า" ที่เราเห็นกันอยู่บ่อย ๆ ก็จะเป็นพวกของมือสอง หรือถ้าจะให้เป็นวินเทจแบบของแท้แน่นอนก็จะต้องเป็นสมบัติของพ่อแม่(หรือแม้แต่ของเพื่อน 555+) ที่เรานำกลับมาใช้ มาใส่ใหม่ได้เรื่อยๆตามช่วงเทรนด์ในแต่ละยุค บางคนก็ไม่สนใจยุค เป็นความชอบส่วนบุคคล
ลองนึกถึงภาพของหญิงสาวในยุค 60's ดู... สาว ๆ สมัยนั้นเค้าใส่เดรสสั้นทรงเอไลน์ มีปกเสื้อใหญ่ ๆ อาจจะมีคอร์เซ็ต(เข็มขัดเส้นใหญ่ ๆ)คาดด้วยก็ได้ นี่เป็นแค่ตัวอย่างเดียว ยังมีเสื้อผ้าสไตล์วินเทจแพทเทรินเก๋ ๆ อีกมากมายให้เราเลือกใส่กัน

แต่เดี๋ยวนี้ส่วนใหญ่เสื้อผ้า ข้าวของ เครื่องประดับที่เราเห็นที่เค้าบอกว่าสไตล์วินเทจ มักจะเป็น "เฟควินเทจ" หรือจะพูดง่าย ๆ ก็คือทำแพทเทรินสไตล์เก่า แต่ผ้าใหม่เท่านั้นเอง
ไม่ว่าจะเป็น "วินเทจ" หรือ "เฟควินเทจ" ก็มีเสน่ห์ไปคนละแบบเหมือนกัน แต่อย่างนึงที่มีเหมือนกันคือ "ความเรียบง่าย" ที่ดูทีไรก็ไม่เบื่อซักที แถมแฟชั่นนี้ยังตอบรับกระแสอนุรักษ์ทรัพยากรโลกด้วย(ก็เราไม่ต้องซื้อใหม่ไงคะ เอาของคุณยายคุณแม่มาใช้บ้าง ของเพื่อนบ้าง เห็นไหมละค่ะ ไม่ต้องเสียเงินซื้อใหม่ แล้วยังไม่ต้องใช้ทรัพยากรธรรมชาตในการผลิตเสื้อผ้าอีกด้วย) นอกจากนี้เรายังสามารถส่วมใส่ได้หลายโอกาส ไม่ว่าจะเป็นในวันธรรมดา หรือวันที่เราต้องออกงานในโอกาสพิเศษ

ส่วนเรื่องเครื่องประดับที่จะมามิกซ์แอนด์แมตช์กับเสื้อผ้าสไตล์วินเทจ ก็จะเป็นพวกเครื่องประดับทองเหลืองทั้งหลายซึ่งเดี๋ยวนี้ก็มีทั้งที่เป็นทองเหลืองแท้ ๆ (ซึ่งก็จะมีราคาสูงซักหน่อย) และที่เป็นทองเหลืองที่ชุบขึ้นมาใหม่ และกระเป๋าก็สไตล์กระเป๋าหนังทั้งแบบสะพายเฉียงและสะพายข้าง
ในวันธรรมดาสาว ๆ อาจจะเลือกใส่เชิร์ตตัวโคร่ง พับแขน คู่กับยีนส์ขาเดฟหรือเลกกิ้ง แล้วก็คาดเข็มขัด หรือคอร์เซ็ต ซักเส้นทับเสื้อเชิร์ต และเพิ่มความโมเดิร์นแบบเท่ห์ ๆ ด้วยแว่นเรย์แบรนกับรองเท้าผ้าใบหรือคัชชูหนังส้นเตี้ย แค่นี้ก็ออกไปข้างนอกได้แบบชิลล์ ๆ แล้ว

และเมื่อเราจะต้องออกงาน เราก็สามารถเลือกใส่เดรส(จะเป็นเดรสยาวหรือสั้นก็ได้)ทรงเอก็สวยดีแต่ถ้าสาวคนไหนไม่ค่อยมั่นใจกับเดรสทรงเอ ลองใช้เข็มขัดเส้นเล็กๆ มาช่วยเน้นส่วน ให้ดูมีส่วนเว้าโค้งก็ได้ค่ะ หรือจะเลือกใส่กระโปรงเองสูงหรือกางเอง คู่กับเชิร์ตแขนยาวเข้ารูปก็ได้นะคะ เดี๋ยวนี้เค้ามีเสื้อเชิร์ตแบบเก๋ ๆ มีลูกเล่นที่คอเสื้อแปลก ๆ ให้เราเลือกมากมายเลยล่ะค่ะ เลือกใส่รองเท้าส้นสูง(จะเป็นส้นตันหรือส้นเข็ม)จะเหมาะมาก

เสื้อผ้าสไตล์นี้น่ะบางครั้งเราไม่ต้องเสียเงินซื้อก็ได้ค่ะ ลองไปเปิดตู้เสื้อผ้าคุณแม่ดู เราอาจจะได้เจอเสื้อผ้าเก๋ ๆ เยอะแยะเลยก็ได้ เห็นไหมล่ะสวยเก๋ ประหยัด แล้วยังอินเทรนด์ได้อีก

















Bohemian(โบฮีเมียน)_Style

ผู้ที่แต่งตัวโบฮีเมียน มักใช้สร้อยคอที่ มีสีสรรค์มากมาย ต่างไปจากคนอื่นๆ การใช้กระโปรงลายดอกๆ มี layer เยอะ กับลากรองเท้าแตะ วัยรุ่นหลายๆคน นิยมเรียก ชื่อเล่นของ Bohemian เป็น แฟชั่นโบโฮ ( Boho ) เห็นบางแห่ง จำกัดความ สุดสวย Boho ของ babyBride เป็น พวกนอกรีด แบบเลยเถิดไปว่า ” ผู้ดำรงชีวิตแตกต่างจากคนอื่น เป็นแบบไม่ทำตามกฎทางสังคม ” สำหรับ ผู้เขียน ขอบอกว่า ไม่ใช่ ไม่ทำตามกฏทางสังคม แต่ว่าไม่ยึดติดกับ วัตถุ เงินทอง มันคิดกันไปคนละเรื่องเลย ไร้สาระ

ชื่อของไอ้เจ้า แฟชั่นแบบ โบฮีเมี่ยน นี้ มันไปมีเอี่ยว กับ แคว้น โบฮีเมีย ( Bohemia ) กันหรือเปล่า ? อันนี้ น่าสนใจ

       คงบอกได้ว่า Bohemia นั้นเป็นดินแดน ที่กั้นระหว่าง เยอรมันกับโปแลน หรือ คือ สาธารณรัฐเช็ก ในปัจจุบัน มีเมืองหลวงคือ ปราก หรือ ปราฮา เขตที่มักมี ข่าวตอนสองทุ่มอยู่บ่อยๆ ช่วงหนึ่ง มีสถานที่ท่องเที่ยว และ คริสตอลสวยมากๆ การแต่งกายของคนที่นี่ ไม่น่าจะมีส่วนเกี่ยวเลย แต่น่าจะไปเกี่ยวกับ การเกิดขึ้นของดินแดนแห่งนี้ มากกว่า       เพราะการใช้ชีวิตในแบบ ไม่แคร์สังคมภายนอก การที่รู้สึกตนเองว่า เงินไม่ใช่พระเจ้า ไม่ได้ประดิษฐ์หรือ สร้างสิ่งของ เพื่อจะแลกกับเงิน จากดินแดนอื่นทำกำไร แต่ทำขึ้มมาจาก รากแท้ของความรู้สึก ที่อยากจะแสดงออก ทางจิตใจ และความคิดสร้างสรรค์ งานของตนเอง ซึ่งมันเป็น เอกลักษณ์แท้ๆ ของ การแต่งกายแบบแบบ Bohemia นี้ แหละ คือ มักเป็น คล้ายๆ DIY แฟชั่น แฟชั่นฮิปปี้ หรือ โฟโฮ แบบยุคก่อนๆ เออเดี๋ยวจะพากันไม่เข้าใจ กันอีก นี่เล่น เล่า ประวัติแฟชั่นโบราณเข้าไปแล้ว
       หากกล่าวถึง คำว่า แฟชั่น โบฮีเมี่ยน คนที่ ผู้บุกเบิก ค่านิยมการแต่งกายแนวนี้ และมีบทบาท มากๆคงต้องเป็น Kate Moss นางแบบที่ ผู้เขียน ได้กล่าว ถึงเธอ ก่อนการจะเขียน ถึงแฟชั่นใน สไตล์แบบนี้ เพราะลูกสาว คนโปรด เธอชอบแนวนี้ มากๆ หลังจาก Kate Moss ได้นำเข้า แฟชั่นโบฮีเมี่ยน ชนิดที่มีความเป็นตัว ของตัวเองสูงมาก ประมาณว่า เป็นแนวไม่แค่สังคม แล้ว Sienna Miller ก็ทำให้มัน เป็นที่นิยม อย่างรวดเร็ว